หัวเว่ย เทคโนโลยี จำกัด. (Huawei Technology Co., Ltd.) สานต่อเป้าหมายของกลยุทธ์อัจฉริยะครบวงจร (All Intelligence) ที่ต้องการนำเทคโนโลยีอัจริยะและเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์เข้าไปยกระดับให้ทุกอุตสาหกรรมได้ประโยชน์สูงสุดจากโอกาสเชิงกลยุทธ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในส่วนของประเด็นเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่วันนี้จากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีทำให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในองค์กรต่าง ๆ มากขึ้น สิ่งเหล่านี้แม้ว่าจะมีประโบชน์ต่อการขับเคลื่อนองค์กร แต่ในอีกแง่มุมก็หมายถึงการเปิดโอกาสให้เกิดภัยคุกคามบนโลกไซเบอร์
การเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคม ได้อย่างมหาศาล ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ ขาดมาตรการเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ดังนั้นเพื่อตอบสนองกับสถาการณ์ที่เกิดขึ้น
หัวเว่ย เปิดศูนย์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และความโปร่งใสในด้านการปกป้องความเป็นส่วนตัวระดับโลก (Global Cyber Security and Privacy Protection Transparency Center) ซึ่งศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อวางรากฐานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการปกป้องข้อมูลร่วมกัน เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ และหน่วยงานต่าง ๆ ในการรับมือกับภัยคุกคามในอนาคต มุ่งเน้น การส่งเสริมความโปร่งใสทั่วโลก (Global Transparency) พร้อมให้ความร่วมมือผ่านทางศูนย์เพื่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และความโปร่งใสในด้านการปกป้องความเป็นส่วนตัว (Cybersecurity and Privacy Protection Transparency Center) หรือ ศูนย์ตงกวนแคมปัส (Dongguan Campu) ซึ่งในอยู่ หัวเว่ย ยูโรเปียน ทาวน์ (Huawei European Town) ตั้งอยู่ในเมืองต่งกวน สาธารณะประชาชนจีน ซึ่งสร้างเสร็จในปี 2021 (2562) ที่ผ่านมาโดยค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างทั้งหมดรวม 10,000 ล้านหยวน
Huawei European Town : Dongguan Campu ตั้งขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์ม เพื่อแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ร่วมกันสำหรับผู้เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ของอุตสาหกรรม รวมถึงเพื่ออำนวยความสะดวกในการประสานงาน การติดต่อสื่อสาร และการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อแนะนำช่วยเหลือในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ให้สามารถพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้มีความมั่นคงปลอดภัย และสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงยังศูนย์ในการจัดทำมาตรการควบคุมความเสี่ยงให้มีการรับรองได้ว่าจะสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดได้ครบถ้วนทั้งข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงระบบ และเครือข่ายจะต้องได้รับการปกป้อง ดังนั้นหัวใจของความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการปกป้องข้อมูลความเป็นส่วนตัว จึงเป็นกระบวนการบริหารจัดการรายละเอียดให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ดี และแนวทางด้านความมั่นคงปลอดภัยระดับสากลนั่นเอง
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา หัวเว่ย ได้ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายกว่า 1,500 เครือข่าย และสนับสนุนองค์กรธุรกิจหลายล้านรายในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ขณะเดียวกัน หัวเว่ย ยังช่วยให้ผู้คนกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก ได้เชื่อมต่อถึงกัน โดยที่สามารถรักษามาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยได้ดีมาโดยตลอด ขณะที่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคงปลอดภัย และการปกป้องความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจในยุคดิจิทัลแห่งอนาคตอย่างยั่งยืน
ศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และความโปร่งใสแห่ง ของ หัวเว่ย นี้ ในปัจจุบันมีพนักงานกว่า 25,000 คน จากพนักงานที่อยู่ทั่วโลกกว่า 20,0000 คน กว่า 25% ของพนักงาน เป็นพนักงานในส่วนของการวิจัยและพัฒนา (Research & Development หรือ R&D) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี เช่น คลาวด์, บิ๊กดาต้า, เอไอ (AI) และ 5G ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ หัวเว่ย ยูโรเปียน ทาวน์ นี้ เพื่อวิจัย และพัฒนาโซลูชั่น และผลิตภัณฑ์ของ หัวเว่ย ในทุกกลุ่ม รวมถึงในปีที่ผ่านมา หัวเว่ย ใช้งบประมาณ R&D ประมาณ 25% ของรายได้ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการวิจัย และพัฒนาสามารถพัฒนาผลิตภัฑ์ และโซลูชั่นได้มากกว่า 140,000 ผลงาน นอกจากนี้ภายในศูนย์นี้ยังมีพนักงานที่ทำงานในด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์กว่า 3,800 คน ประจำอยู่ภายใน ศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และความโปร่งใส
นอกจากนี้ หัวเว่ย ยังเดินหน้าส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัย พัฒนากลไกการตรวจสอบ และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วทั้งอุตสาหกรรม ผ่านความร่วมมือกับองค์กรอุตสาหกรรม เช่น GSMA, C4C WEF และองค์กรมาตรฐาน เช่น 3GPP, IETF, ITU-T เพื่อส่งเสริม และพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยและกลไกการตรวจสอบ ทำงานร่วมกัน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ร่วมกับองค์กรตรวจสอบความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหภาพยุโรป (ENISA, BEREC ฯลฯ) อีกด้วย
หัวเว่ย ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแล ผู้ให้บริการ และองค์กรมาตรฐานในลักษณะที่เปิดกว้างและโปร่งใส เพื่อสร้างระบบความไว้วางใจโดยอิงตามข้อเท็จจริงที่เป็นกลางและยืนยัน นี่คือรากฐานสำคัญของสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน
ศูนย์ตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ของ หัวเว่ย
สุรชัย ฉัตรเฉลิมพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บริหารระดับสูงฝ่ายความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัว บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภัยคุกคามทางไซเบอร์ส่วนใหญ่ ได้แก่ แรนซัมแวร์ การโจมตีแบบปฏิเสธการให้บริการ หรือ ดีดอส(DDoS) ซึ่งพบว่ามีการโจมตีเพิ่มขึ้น 203% เมื่อเทียบกับช่วงหกเดือนแรกของปี พ.ศ. 2564 ขณะที่ในส่วนของแอปพลิชันที่แอบฝัง มัลแวร์ (Malware) ฟิชชิ่ง (phishing) ปัจจุบัยังคงพบการโจมตีช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ การโจมตีช่องโหว่ในระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง อย่างต่อเนื่อง ด้านภัยคุกคามจากการโจมตีโดย แรนซัมแวร์ (Ransomware)
ปัจจุบันพบการโจมตีจากแรนซัมแวร์ 236 ล้านครั้ง ใน 6 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2565 ขึ้นแท่นภัยไซเบอร์อันดับ 1 โดยคิดเป็น 23% ของการโจมตีโจมตีทางไซเบอร์ทั้งหมด และกว่า50% เป็นการโจมตีในระดับองค์กรองค์กร ซึ่งในอนาคตคาดว่าการโจมตีทาไซเบอร์จะเพิ่มกว่าเดิมถึง 5 เท่า จากในปัจจุบัน
ขณะที่ปัญญาประดิษฐ์สามารถช่วยป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่เข้ามาได้ แต่ AI ก็สามารถนำมาใช้อย่างชาญฉลาด เพื่อเริ่มต้นการโจมตีเครือข่ายประเภทใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น และปัจจุบันยังพบแนวโน้มการโจมตีผ่านอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
สำหรับการโจมตีเทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain) วันนี้ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทิศทางความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เปิดใช้งานบล็อกเชนจะเป็นอย่างไร แต่จะเชื่อไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน ขณะที่การใช้งาน 5G ที่เพิ่มขึ้นจะสร้างความท้าทายใหม่ด้านความปลอดภัย และการปกป้องความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และความโปร่งใส ของ หัวเว่ย สร้างขึ้นเพื่อป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์เหล่านี้ ควบคู่ไปกับการกำจัดข้อสงสัยด้านความมั่นคงปลอดภัย และยกระดับความไว้วางใจในแบรนด์หัวเว่ยในระดับโลก ที่ หัวเว่ย เราเชื่อ ว่าความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
ความท้าทายที่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทั้งนี้ การจัดตั้งศูนย์นี้เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ การลงทุนด้านการวิจัย และพัฒนา รวมไปถึงการสร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือ และพันธมิตรในระดับโลก คือความตั้งใจของเราที่จะขยายความร่วมมือกับลูกค้า คู่ค้า และองค์กรต่าง ๆ ทั้งทางภาครัฐ และเอกชน เพื่อยกระดับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ไปทั่วโลก โดยศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และความโปร่งใสแห่งนี้ ประกอบด้วย ศูนย์นิทรรศการ และศูนย์ตรวจสอบ และบริการลูกค้า ซึ่งลูกค้าสามารถนำอุปกรณ์ของตัวเองจากที่บริษัทมาตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ของ หัวเว่ย ยังเป็นที่ตั้งของ “ห้องปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แบบอิสระ“ ซึ่งมี “แฮกเกอร์สายหมวกขาว“ (White Hackers) จำนวน 200–300 คน ทำหน้าที่ตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ก่อนนำออกไปวางจำหน่าย และใช้งาน
บริเวณเดียวกัน ยังมีศูนย์วิจัยพัฒนา ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “หมู่บ้านเขาวัว“ (Ox Horn Village) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 120 เฮกตาร์ หรือ 300 เอเคอร์ พื้นที่ทั้งหมดของตัวอาคารก่อสร้างคือ 1.45 ล้านตารางเมตรประกอบด้วยกลุ่มอาคาร 12 กลุ่ม กระจายอยู่ทั่วทั้ง 4 โซน ซึ่งสร้างขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากแบบสถาปัตยกรรมชั้นนำในยุโรป มาสร้างเป็นสถาปัตยกรรมในโซนพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ลักเซมเบิร์ก, เวโรนา, ปารีส, กรานาดา, โบโลญญ่า, เชสกี้ ครุมลอฟ, ฟรีบูรก์, เบอร์กันดี, ไฮเดลแบร์ก, บรูกส์, วินเดอร์เมียร์ และ ออกซฟอร์ด อีกทั้งยังมีสถานีรถไฟ 13 สถานี เพื่ออำนวยความสะดวกในหารสัญจรให้แก่พนักงานของ หัวเว่ย ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นซึ่งใช้เวลาสร้างกว่ากว่า 3 ปี และได้คำนึงถึงสร้างอาคารต่าง ๆ ที่แสดงถึงวัฒนธรรมด้านสถาปัตยกรรม ให้มีความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม สร้างความรู้สึกผ่อนคลายจากการทํางานให้แก่พนักงานของเรา และนอกจาก ศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และความโปร่งใสซึ่งอยู่ที่ เมืองต่งกวน ประเทศจีน ซึ่งเป็นศูนย์ใหญ่ที่สามารถคอบคลุมการดูแลภยคุกคามทางไซเบอร์ทั่วทั้งภูมิภาคเอเซิยนี้แล้ว หัวเว่ย ยังมี ศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และความโปร่งใสศูนย์ใหญ่อีกแห่งในฝั่งภูมิภาคยุโรป ที่ชื่อว่า “Huawei Brussels Transparency Center“
พื้นที่โดยรวม 1,000 ตารางเมตร กระจายอยู่บน 2 ชั้น ซึ่งเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2019 โดยอยู่ที่ นครบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เพื่อให้ลูกค้าสะดวกในการเดินทาง โดยศูนย์ที่เบลเยียมก็มีแพลตฟอร์มการตรวจสอบ และประเมินผลทางเทคนิคเช่นเดียวกับที่ เมืองต่งกวน สาธารณะประชาชนจีน
โดยนอกจากทั้ง 2 ศูนย์ใหญ่ ที่กล่าวไป หัวเว่ย ยังมี ศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และความโปร่งใสที่กระจายตัวอยู่ในเมืองต่าง ๆ อีกกว่า 5 แห่ง (อังกฤษ, เยอรมัน, อิตาลี, แคนนาดา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลหากันได้ เพื่อรวมเทคนิคในการต่อต้านภัยคุกคาม และอุดช่องโหว่ได้ดีขึ้น
หัวเว่ย พร้อมนำความเชี่ยวชาญส่งตรงจากประเทศจีนสนับสนุนพันธมิตรทั่วโลก ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากร
หัวเว่ย นำความเชี่ยวชาญส่งตรงจากประเทศจีนมาสนับสนุนพันธมิตรทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย หัวเว่ย ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เพื่อจัดการแข่งขันด้านความมั่นคงความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรทางด้านดิจิทัล และลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางด้านดิจิทัลในประเทศไทย จากกิจกรรมดังกล่าวส่งผลให้ประเทศไทยมีจำนวนบุคลากรทางด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นถึง 10,000 คน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2565
เป็นการขับเคลื่อนจำนวนบุคลากรทางด้านดิจิทัลให้กับประเทศไทย และยังช่วยผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายในการขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้หัวเว่ย ยังทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ของหัวเว่ยทุกชิ้นที่นำเข้ามายังประเทศไทยมีการดำเนินการสอดคล้องตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) และทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการปกป้องความเป็นส่วนตัวเป็นความท้าทายที่ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม องค์การกำหนดมาตรฐาน องค์กรธุรกิจ ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและผู้บริโภค มีความรับผิดชอบที่จะต้องเผชิญร่วมกัน หัวเว่ย ยึดมั่นในค่านิยมของความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ประกอบไปด้วย ความซื่อสัตย์ ความไว้วางใจ ความสามารถ ความรับผิดชอบ ความเปิดกว้างและความโปร่งใส บริษัทฯ พร้อมเสมอที่จะพูดคุย และให้ความร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมไปถึงการแก้ปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ในปัจจุบันที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และข้อมูลส่วนบุคคล อีกด้วย
หัวเว่ย เทคโนโลยีเป็นแค่ส่วนเสริมที่สำคัญคือ “คน“
ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางที่มีทักษะด้านดิจิทัล ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งลงมืออย่างเร่งด่วน เพราะไม่ว่าจะมีการคิดค้นเทคโนโลยี หรือโซลูชั่นที่ทันสมัย และมีความอัจริยะออกมาแต่ไหน แต่หน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีคน หรือบุคลากรที่มีทักษะเพียงพอที่จะใช้ก็ไม่มีประโยชน์
ปัจจุบันนั้นภัยคุกคามจากการโจมตีทางไซเบอร์จะมุ่งเน้นในยังองค์กรที่มี “ข้อมูล“ (Data) สำคัญจำนวนมาก เช่น ธนาคาร, โรงพยาบาล, ปั้มน้ำมัน ฯลฯ โดยเหล่าแฮกเกอร์จะมุ่งในการทำให้ระบบล่ม หรือล็อคไม่ใช้สามารถใช้งานจนกว่าจะจ่ายค่าไถ่ ซึ่งเมื่อการโจมตีเกิดขึ้นแล้วแทบจะไม่เหลือทางเลือกในการนำข้อมูลนั้นกลับมา ส่วนใหญ่องค์กรต่าง ๆ ก็จำเป็นต้องจ่ายค่าไถ่ให้เหล่าแฮกเกอร์ และหากไม่มีการตัดระบบออกอย่างทันท่วงที ก็มีโอกาสสูงที่ มัลแวร์ (Malware) หรือ แรนซัมแวร์ (Ransomware) จะแพร่กระจายไปยังส่วนงานอื่น ๆ ได้ โดยข้อมูลจากรายงานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของโลก (Global Cybersecurity Index : GCI)
“จาก International Telecommunication Union. หรือ ITU ในปี 2020 ที่เผยข้อมูลดัชนีชี้วัดระดับของความพร้อมในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ระบุว่าประเทศไทยมีระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อยู่ที่อันดับที่ 44 ของโลก จาก 182 ประเทศทั่วโลกหากวัดแค่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ซึ่งการมีบุคลากรที่มีทักษะทางดิจิทัล หรือทักษะทางไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะชี้วัดว่าประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหน ดังนั้น กระบวนการพัฒนาคนจึงเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุดที่จะทำให้เทคโนโลยีนั้นสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ประเทศไทยจะมีอันดับที่ไม่ได้แน่เท่าไร แต่ในการสำรวจเองก็พบว่าประเทศไทยเองยังได้คะแนนในส่วนของกฏหมายที่บังคบใช้ในด้านการปกป้องขํอมูลส่วนบุคคลอยู่ ซึ่งในวันนี้ประเทศไทยได้มีกฏหมายออกมาแล้ว แต่ที่ยังขาดอยู่คือบุคลากรที่มีทัษะทางด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ซึ่งหากทำได้ก็จะสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ อีกทั้งยังเป็นการปฏิรูปธุรกิจให้สอดรับกับนโยบาย พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) และ กฎหมายกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (General Data Protection Regulation : GDPR) ซึ่งมีผลอย่างมากสำหรับธุรกิจที่มีการให้บริการในยุโรป
ขณะเดียวกันการใช้ 5G ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการใช้คอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ธุรกิจต้องหันมาพัฒนาแอป หรือแพลตฟอร์ม เพื่อรองรับช่องทางการเข้าใจงานของผู้บริโภคในปัจจุบันก็สร้างให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์รูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งในปัจจุบันหลายองค์กรยังไม่สามารถพัฒนาบุคลากรของตนเองให้เข้าใจในการป้องกันภัยไซเบอร์ได้ เรียกได้ว่าเร่งเครื่องในการสร้างแอป หรือแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ให้รองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ไม่สามาถอุกช่องโหว่ และป้องกันได้ทันกับภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ ๆ ได้นั่นเอง ส่วนของการเดินหน้าพัฒนาบุคลากรในไทยเอง
หัวเว่ย ลงนามความร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ร่วมกันยกระดับองค์ความรู้ทางด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และจัดโครงการฝึกอบรม การแข่งขัน Thailand Cyber Top Talent หรือ Women : Thailand Cyber Top Talent ขึ้น เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และผลักดันกลุ่มบุคลากรไอซีทีในทุกเพศในประเทศไทย ซึ่งในปี 2465 ที่ผ่านมาโครงการทั้งหมดที่ร่วมกับสกมช. สามารถสร้างบุคลากรที่มีความรู้ทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 คน ซึ่งเยอะกว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
ภาคธุรกิจวันนี้ต้องปรับความคิดใหม่อย่ามองเรื่องของการลงทุนทางด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ที่ ราคา ถูก หรือ แพง ผู้บริการขององค์กรต้องให้ความสำคัญทั้งในด้านของเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันภัยคุกคาม และต้องสร้าง ความตื่นตระหนกทางวัฒนธรรม (Culture Shock) ทางด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ให้แก่ทั้งองค์กรของตน จะช่วยให้องค์กรมีความปลอดภัยมากที่สุดเท่าทีจะเท่าได้ อีกทั้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีตำแหน่งผู้ให้บริหารทางด้ายไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่จะเป็นกลไกในการวางกรอบนโยบายขององค์กร ตำแหน่งนี้ไม่ใช้เรื่องของแผนกไอทีขององค์กรแต่ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจทางไซเบอร์ซีเคียวริตี้เป็นอย่างดี ว่าจะพัฒนาคนของตัวเอง หรือใช้เทคโนโลยีอะไร